เปิดอก!! เปลือยหมดเปลือก จากปาก เด็กเสี่ย-เด็กเล้าจน์-โคโยตี้ จำใจหรือจำเป็น?

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" ใช่มั้ย? ซึ่งมันก็จริง เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป...


เคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" ใช่มั้ย? ซึ่งมันก็จริง เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา อุปสรรค มันเกิดจากการก้าวเดินของเราทั้งนั้น แต่ทำไมคนบางคนถึงเลือกทางที่รู้ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า ? แต่ก็ยังยอมพลิกผันตัวเองสู่การเป็น "เด็กเลาจน์" อาชีพที่ไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่โดนประณาม ดูถูก เหยียดหยาม และมองว่าเด็กเลาจน์ต้อง "มั่ว" ทุกคน วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เธอเผยจนหมดเปลือก เกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานในวงการอโคจรแบบนั้น จากเด็กผู้หญิงฐานะยากจน มีเพียงแม่ที่คอยเลี้ยงดู จนเธอกลายเป็นความหวังสุดท้ายของครอบครัว ทำให้ต้องสลัดคราบนักศึกษา ก้าวเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว แม้จะเคยบอกว่าแอนตี้อาชีพนี้ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็เลือกไม่ได้ หากแต่หนทางนี้จะทำให้เธอได้มาซึ่ง เงิน เงิน เงิน !! แต่ผู้ชายที่เธอเรียกว่าลูกค้า? เงินที่เธอได้มา? และชีวิตที่แสนสุขสบาย? ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลดค่าของตัวเองลง เพราะทุกสิ่งที่ตัดสินใจทำ เกิดจากศักดิ์ศรีของตัวเองล้วนๆ !!
 ชีวิตตอนเด็กถูกกดดันต้องเป็นที่ 1 ตลอด !!

ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เด็กถูกกดดันจากแม่มากๆ ต้องเป็นที่ 1 ต้องดีเด่น เลิศ เพราะแม่จะคาดหวังกับเราสูง และด้วยฐานะที่ยากจน ใครก็อยากจะถีบตัวเองขึ้นมาจากจุดนั้นให้ได้ แต่เอาจริงๆ ส่วนตัวไม่ชอบการแข่งขันเลย เครียด เหนื่อยมากๆ ที่ต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ พอจบ ม.6 ความคิดที่อยากจะเรียนต่อก็แทบไม่เหลือเลย เพราะแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งเสียแล้ว เท่านั้นแหละ เราก็คิดว่า แล้วจะเรียนเก่งเพื่ออะไรวะ?
 ก้าวแรกสู่หาเงินด้วยตัวเอง
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินทางจาก ศรีสะเกษ มากู้เรียนต่อที่ ม.ราม แต่พอเริ่มขึ้นปี 2 ก็รู้สึกแล้วว่า ไม่ไหวแล้ว ไม่มีเงินใช้ อยากทำงานอย่างเดียว เลยหยุดเรียน แล้วออกมาทำงานเลย ด้วยความที่นิสัยเป็นคนตื่นสาย เลยรักงานสบาย  แบบ…แค่สวยแล้วได้เงินไว แต่ไม่ใช่เอาตัวเข้าแลกกับผู้ชายนะ เพราะเรามีแฟนเป็นทอม ช่วงแรกเราก็ทำเป็นพีอาร์ ต้อนรับลูกค้า  จากนั้นเสี่ยเจ้าของร้านก็มาเชียร์ให้ไปเป็นโคโยตี้เพราะได้เงินเยอะกว่า ต้องเต้น ต้องคุยกับผู้ชาย แถมต้องดื่มเหล้า ซึ่งเราทำไม่เป็นเลย แต่ก็ลองๆ ทำไปทำมาก็พอมีเงินเก็บ  เราเลยเอาวะ!! เลือกทางนี้ ทำยังไงได้ ไม่มีใครช่วยเหลือเรา  แล้วก็ยึดอาชีพโคโยตี้นี่แหละ เพราะมันได้เงินเยอะสุดแล้ว และที่ภูมิใจมากๆ ก็คือเราสามารถหาเงินจากตรงนี้ไปสร้างบ้านให้แม่อยู่ได้ โดยไม่อายว่าใครจะมองว่าเราเป็นโคโยตี้!!
 จากโคโยตี้ก้าวเข้าสู่การเป็นเด็กเลาจน์แบบเต็มตัว
พอไม่นาน เราเลิกกับแฟนทอม เลยอยู่กรุงเทพฯ ต่อไม่ได้แล้วเพราะไม่อยากเจออะไรเดิมๆ เราตัดสินใจไปทำงานต่างจังหวัดเหมือนโคโยตี้หรือเด็กนั่งดริ้งค์ทั่วไปที่ไปทำงานมาเลเซีย สิงคโปร์นั่นแหละ แต่เราเลือกที่จะไปภูเก็ต แค่อยากหลบไปพักใจ ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จัก ดวงเราเหมือนจะถูกโฉลกกับคนทำธุรกิจมืด เราดันมาถูกใจนายหัวเจ้าของบ่อนที่นี่ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทำงานเลย เพราะเค้าซื้อดื่มตลอด (ซื้อดื่มคือลูกค้าจ่ายเงินเข้าร้านมากกว่าปกติ และพนักงานไม่ต้องไปทำงาน)  เรามีหน้าที่ไปนั่งเฝ้าเค้าที่บ่อนบ้าง เค้าพานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปเลี้ยงรับรองบ้าง คือมีหน้าที่แต่งตัวสวยๆ แล้วเดินตามตูดเค้านั่นแหละ ตอนนั้นเหมือนทุกอย่างบีบให้เราต้องถูกเลี้ยง เหมือนเป็นเด็กเสี่ยแบบเต็มตัว เราเคยรู้สึกแอนตี้อาชีพนี้เลยนะ แต่ตอนนี้มันหมดที่พึ่งแล้วจริงๆ ซึ่งเขาให้เงินเราใช้เดือนละ 50,000-100,000 บาทเลย ตอนนั้นเราก็ไปๆ มาๆ ระหว่างภูเก็ตกับกรุงเทพฯ ทุกเดือน ก็เหมือนเราถูกเลี้ยงดูไปโดยปริยาย คนที่เลี้ยงเราเค้ามีชีวิตแปลกๆ คือเค้ามีเมีย 3 บ้าน และเค้าต้องไปดูแลกินข้าวด้วย หลายครั้งก็ทิ้งให้เราอยู่โรงแรมคนเดียว ให้คนขับรถมารับเราไปกินข้าว คือชีวิตเค้าดูยุ่งยากมากเลย เค้าต้องระวังตัวตลอดเวลา จะไปไหนก็ต้องมีการ์ด ต้องพกปืน หรือบางทีจะกินข้าวกันแค่สองคน ก็จะมีคนมาส่งบอล ส่งหวยบ้างหล่ะ สารพัดธุรกิจที่ผิดกฏหมายที่เค้าทำ ขับรถก็จะคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา จนบางทีเรายังงงเลยว่า "จ้างกูมาทำไมวะ!?!" เงินอะให้เยอะก็จริง แต่เรารู้สึกว่าเราไม่มีค่าอะไรเลย ไหนจะสลับรางผู้หญิง ไหนจะคนนั้นคนนี้ตบกัน คือชีวิตแบบนี้มีความสุขหรอ!?! แต่พอรู้จักจริงๆ เค้าก็เป็นผู้ชายดีๆ คนหนึ่งที่แค่เจ้าชู้และไม่หยุดอยู่ที่ใคร แค่นั้นเอง....
จริงๆ เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากเลยที่อยู่ดีๆ ชีวิตเราก็พลิกผันมาเป็นแบบนี้ เราเคยปฏิญาณกับตัวเองว่าเราจะไม่เป็นเมียน้อยใครเด็ดขาด!!! แต่วันนี้โลกเล่นตลกกับเรามาก ต่อให้ในการคบกันจะมีเงื่อนไขและข้อตกลงที่เราไม่สามารถบอกใครได้ แต่ภาพที่คนนอกมองเข้ามา ใครๆ ก็ต้องมองว่าเราเป็นเมียน้อย (คนที่เท่าไหร่ไม่รู้) เป็นเด็กเสี่ย .. ในหัวตอนนั้นคือมันเลือกอะไรไม่ได้ละ เพราะตอนที่ลำบาก ตอนที่แย่ คนที่อยู่ข้างๆ ก็คือคนที่ยืนอยู่หน้ากระจก กี่ครั้งแล้วที่ต้องหน้าซุกหมอนนอนร้องไห้ คนที่กอดเราในวันที่เราไม่เหลือใครก็คือตัวเราเอง กี่ครั้งที่เดินเข้า-ออกโรงจำนำเป็นว่าเล่น เราไถ่ถอนทุกอย่าง ตอบแทนและชดใช้ให้กับแม่เราจนหมด เราคิดแค่ว่า เราทำในสิ่งที่ควรทำได้ดีที่สุดแล้ว
 สุดท้ายก็ต้องเลิกรา
ครั้งนึงเราเริ่มรู้สึกดีกับเขานะ ตอนเขาที่ดีๆ กับเรา เพราะตอนนั้นเราไม่มีใครด้วยไงหลายเดือนแล้ว เราก็ไปๆ มาๆ ภูเก็ต จากที่เป็นคนร่าเริง กลายเป็นคนเก็บตัว อายอ่ะ เราเดินกับเขาเรารู้สึก ไม่เหมาะสมเลย เพราะที่ผ่านมาเจอแต่ทอม แต่ละคนแต่งตัวกันจัดเต็ม เรารังเกียจตัวเองมากเลยนะ ยิ่งเวลาเรามาเจอเพื่อน ก็จะบอกเพื่อนว่านี่ลูกค้านะ

          พอเราจะบอกกับแม่ตรงๆ ว่าเราจะคบคนนี้นะ (จะมีคนเลี้ยงนะ) แม่เราไม่ห้ามเราเลย จุดนั้นเรางงมาก แต่เราก็พยามเข้าใจว่าเค้าคงเหน็ดเหนื่อยกับความลำบากมาทั้งชีวิตแล้วจริงๆ มันมีเหตุการณ์ที่เราต้องจำจนวันตาย คือหนึ่งในเด็กของเค้ารู้ว่าเค้าแอบมีเรา เค้าก็โทรมาหาเรา โดยที่ไม่ได้นัดไม่ได้เตี๊ยมกะเราเลย พอเรารับสาย เค้าพูดว่า…..”เค้าเลือก (ชื่อเด็กเค้าอีกคน)” แล้วเค้าก้อวางสายไป……
          เราเหวอ ช็อก งงเป็นไก่ตาแตกว่าเกิดอะไรขึ้น เฮ้ย “ระหว่างเรากับเค้ามันไม่ใช่ความรักแน่นอน มันคือเรื่องเงินล้วนๆ”แต่ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ เรายังหลงเหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่มั้ย!?!
          เราบินกลับกรุงเทพฯ ทันที!!!  เค้าพยายามขอโทษขอโพยเราทุกสิ่งในเรื่องที่เกิดขึ้นว่าฝั่งนั้นขู่ด้วยการกรีดข้อมือ และเอามีดจ่อคอตัวเอง เราให้เค้าชดใช้ความผิดด้วยการโอนเงินมาให้เราก้อนหนึ่งเพื่อเช่าคอนโดใหม่และเปิดร้านเสื้อผ้าให้เรา “เค้าตอบตกลงทันที”
 ขอเริ่มต้นใหม่แบบที่ไม่ต้องง้อเงินใครอีกต่อไป
          หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ไปเหยียบภูเก็ตอีกเลย หันมาตั้งต้นทำธุรกิจใหม่ ขายของออนไลน์และได้พบกับแฟนทอม ซึ่งเราทั้งคู่ตัดสินใจคบกัน โดยที่ไม่ได้ติดต่อกับคนเก่าอีกแล้ว ความรักเริ่มจะไปได้สวยงาม แต่ก็ต้องมาสะดุดกับปัญหาเรื่องเงินที่เริ่มร่อยหรอ จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจเลิกรากับแฟนทอม แล้วหันมาทำงานกลางคืนเหมือนเดิมเป็นโคโยตี้ในเลาจน์เล็กๆ แต่ก็ต้องรักษาลุคให้มากกว่าแต่ก่อน เพราะต้องทำงานกลางวันเป็นพริตตี้ไปด้วย สารภาพเลยว่า “อาย” ที่จะต้องกลับมาทำงานนี้อีกครั้ง แต่ขอแค่พอมีเงินใช้เท่านั้นเอง


          ปัจจุบัน พูดได้เต็มปากเลยว่า เธอเลิกอาชีพเหล่านั้นไปหมดแล้ว หันหลังให้วงการอย่างเต็มตัว ตอนนี้ก็มาจับทำธุรกิจที่สุจริตแทน แถมมีรายได้ดีไม่แพ้กัน ด้วยการเปิดธุรกิจขายครีม เวชสำอางเพื่อผิวหน้าและผิวกาย รวมถึงทำธุจกิจสปา  แม้ชีวิตจะผ่านความวุ่นวายและเรื่องราวที่หนักมาพอสมควร แต่ด้วยความพยายาม ขยัน และไม่ดูถูกตัวเอง ทำให้เธอมีชีวิตที่มีแต่ความสุขดี การงานก็รุ่ง ความรักก็ดีอีกต่างหาก ใครสนใจสามารถ


ที่มา FB :  พชระ พิมพา (Minmunta Supanunpipatkul) ,

loading...

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น